ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี นำโดยนายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พร้อมด้วยนายสิรณัฐ สก็อต ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายจินดา ศรีสุพพัตพงษ์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จังหวัดตรัง และพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯ จำนวน 25 นาย พร้อมเรือตรวจการณ์ จำนวน 2 ลำ เรือยางท้องแข็งจำนวน 2 ลำ ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ มาตรการและข้อปฏิบัติว่าด้วยการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวอ่าวปิเละ ตามประกาศอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ลงฉบับวันที่ 13 มีนาคม 2567 ซึ่งเริ่มบังคับใช้มาตรการในการท่องเที่ยวในอ่าวปิเละ ในวันที่ 17 มีนาคม 2567 เป็นวันแรก ซึ่งที่มาในการจัดระเบียบการท่องเที่ยวในอ่าวปิเละในครั้งนี้ สืบเนื่องมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 67 อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้ดำเนินการจัดประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคส่วนราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ชมรมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี ชมรมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี กลุ่มพิทักษ์พีพี ชมรมเรือหางยาวเกาะพีพี ผู้ประกอบการเรือหางยาว และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ณ ห้องประชุมโรงแรม พีพี อันดามัน บีช รีสอร์ท (เกาะพีพี) จังหวัดกระบี่ ในที่ประชุม และได้มีมติที่ร่วมกันที่ในการจัดระเบียบการท่องเที่ยวในอ่าวปิเละลากูน เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของเรือที่เกิดจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มีภูมิทัศน์ไม่สวยงาม เกิดมลพิษ ทั้งทางด้านเสียงจากเครื่องยนต์เรือ และมลพิษทางอากาศ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้าไปได้รับโดยตรง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะหาแนวทางในการจัดการแก้ไขปัญหา ซึ่งอุทยานแห่งชาติได้ดำเนินการในการติดตั้งทุ่นจอดเรือ และทุ่นไข่ปลาเพื่อกำหนดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำได้ในพื้นที่ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว หลังจากการประชุมดังกล่าวได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 โดยมี นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ประธานในที่ประชุม โดยมติที่ประชุมเห็นชอบ ให้เร่งดำเนินการจัดระเบียบการท่องเที่ยวภายในอ่าวปิเละ เพื่อลดความแออัด และความหนาแน่นของเรือนำเที่ยว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางธรรมชาติและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นการลดผลกระทบที่อาจส่งผลต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยากแก่การฟื้นฟูภายหลัง