เกษตรกรวอนกำจัดปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติก่อนจะสาย

“ปลาหมอคางดำ” พบแห่งแรกใน จ.สมุทรสงคราม กว่า 10 ปีที่แล้ว ก่อนจะระบาดไปหลายจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก กระทั่งล่าสุดชาวบ้านเริ่มพบในพื้นที่ภาคใต้ นครศรีธรรมราช-สุราษฏร์ธานี-สงขลา แนะยกระดับแก้ปัญหาให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ก่อนที่จะลุกลามบานปลาย จนทำลายระบบนิเวศพันธุ์ปลาท้องถิ่นลดน้อยถึงขั้นสูญพันธุ์ได้ วอนให้แก้ปัญหาปลาหมอคางดำเป็น”วาระแห่งชาติ
นายปัญญา โตกทอง อายุ 66 ปี เครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน และเครือข่ายประชาคมคนรักแม่กลอง ซึ่งเคยเป็นเกษตกร กล่าวถึงปลาหมอคางดำว่า เริ่มระบาดเข้ามาที่ ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงครามประมาณ ปี 2554 ตอนนั้นตนมีอาชีพเลี้ยงกุ้ง แรกๆ ก็ไม่รู้ว่าปลาอะไรปะปนกับกุ้งประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากว่า มีบริษัทแห่งหนึ่ง นำปลาพันธุ์นี้เข้ามาในพื้นที่เพาะเลี้ยงจ.สมุทรสงคราม เนื่องจากช่วงนั้นการเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิมในการเพาะเลี้ยงตายจำนวนมาก จึงหาวิธีแก้ปัญหา มีผู้แนะนำให้ทดลองนำ”ปลาหมอคางดำ”จากทวีปแอฟริกา มาช่วยพัฒนาสายพันธุ์เป็นปลาเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยนำเข้ามาลอตแรกประมาณ 2,000 ตัว สุดท้ายได้กระจายลงแหล่งน้ำธรรมชาติสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านที่เลี้ยงกุ้งทั้งแบบพัฒนาคือการซื้อลูกกุ้งมาปล่อยในบ่อเลี้ยง และเลี้ยงแบบธรรมชาติคือการสูบน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ

นายปัญญา กล่าวต่อว่า ช่วงนั้นนอกจากกุ้งที่เลี้ยงไว้การจับเริ่มน้อยลงแล้วสัตว์น้ำพื้นถิ่นที่เคยชุกชุมก็เริ่มหายากขึ้น และชาวบ้านก็มีการนำปลาหมอคางดำมาทำกินแต่เนื้อปลาไม่อร่อยและก้างเยอะ จึงไม่เป็นที่นิยม ตอนนั้นเครือข่าย 4 อำเภอ 2 จังหวัด คือ อ.เมืองสมุทรสงคราม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม อ.บ้านแหลม และ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี เริ่มออกมาเคลื่อนไหวโดยไปร้อง เรื่องการละเมิดสิทธิ์ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าร้องกันจนเสียงแห้ง กรณี “ผู้ใดก่อมลพิษผู้นั้นต้องรับผิดชอบ” โชคยังดีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เรียกกรมประมงเข้าหารือกับทุกภาคส่วน จนทราบว่ามีต้นตอมาจากบริษัทใหญ่ อ้างว่านำเข้าปลาหมอคางดำจริง ขออนุญาติในปี2549 และในปี 2553 ปลาที่นำเข้ามาทั้ง 2,000 ตัวนั้นได้ทำลายโดยฝังกลบแล้ว แต่ในปี 2554 พบปลาหมอคางดำอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และเริ่มระบาดก็ไม่ได้ออกมารับผิดชอบใดๆ “บทสรุปคราวนั้นคือ ชาวบ้านเสนอให้กรมประมงรับซื้อปลาหมอคางดำ เริ่มระบาดกิโลกรัมละ 20 บาทเพื่อเยียวยาและสร้างแรงจูงใจให้มีการจับปลาหมอคางดำมาขาย เพราะตอนนั้นระบาดแค่ 4 อำเภอ 2 จังหวัด โดยเปรียบเสมือนข้าว 4 ชาม ใช้งบกวาดล้างตอนนั้นก็ไม่มาก จับให้หมดอย่าให้เหลือข้าวในชามแม้แต่เม็ดเดียว เพราะถ้าปล่อยไว้ก็แพร่พันธุ์มากขึ้นและรวดเร็วมาก ปลาชนิดนี้ออกไข่ทุก 22 วัน ปลา 1 คู่ออกลูก 6 ล้านตัวภายใน 1 ปี ทำให้ทั้งพ่อแม่ปลาไม่สร้างโปรตีน ก้างจึงแข็งเนื้อน้อยวนเวียนกันอยู่แบบนี้”

ต่อมาจึงเสนออีกแนวทางให้กรมประมงเลี้ยงปลานักล่า เช่น ปลากะพง ปลากุเลา ฯลฯ เพื่อปล่อยกินลูกปลาหมอคางดำ เพราะตอนนั้นการรับซื้อของกรมประมงเป็นช่วงสั้นๆ พอหมดเงินปลาหมอคางดำก็กลับมาเยอะอีก จากนั้นก็มีแต่การแก้ปัญหาเป็นช่วงๆเหมือนจัดอีเวนท์ จนตอนนี้กว่า 10 ปีแล้ว จ.สมุทรสงคราม มีการระบาดกระจายไป 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ และปัจจุบันยังขยายไป 14 จังหวัดอื่นๆทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ตอนที่ระบาดน้อย 2 จังหวัดไม่ได้ทำจริงจัง อีกทั้งบริษัทต้นเหตุก็ไม่ออกมารับผิดชอบใดๆ เพราะขณะนี้เริ่มส่งผลกระทบระบบนิเวศ เพราะปลาหมอคางดำกินทั้งลูกกุ้งลูกปลาทำให้”ปลาท้องถิ่น”เริ่มลดน้อยหายไป เช่น ปลาหมอเทศ ส่วนปลากระบอก ที่เคยชุกชุมก็หายากขึ้น ส่วนบ่อปลาสลิด ตอนนี้ก็พบว่ามีปลาหมอคางดำเข้าไปปะปนประมาณ 20% แล้ว ส่วนสาเหตุที่ปลาหมอคางดำ เริ่มแพร่ระบาดไปยังภาคใต้ นั้น นายปัญญา บอกว่า น่าจะไปเองตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะปลาชนิดนี้อยู่ได้ทุกสภาพน้ำ ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม รวมถึงน้ำคุณภาพต่ำ ชอบที่สุดคือน้ำกร่อย แต่จะไม่ลงไปในทะเลลึกหรือพื้นที่ดินทรามโดยจะว่ายลัดเลาะชายฝั่งและขยายพันธุ์ตามป่าชายเลน
สำหรับการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำนั้น นายปัญญา บอกว่าอันดับแรกภาครัฐต้องจริงใจก่อน อย่าคิดแทนชาวบ้านแต่ให้คิดร่วมกันให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมหรือกำหนดให้การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำเป็น”วาระแห่งชาติ” หน้าที่ของกรมประมงคือการกำจัดปลาหมอคางดำไม่ต้องยุ่งกับเรื่องแปรรูปให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น และต้องจับมือกับบริษัทใหญ่ต้นเหตุให้มาร่วมรับผิดชอบเพราะได้นำเข้ามาแล้วละเมิดสิทธิ์ชาวบ้านก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย รับซื้อปลาที่ได้กลับไป