ปลาหมอคางดำสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ชาวประมงยิ้มออก

วันที่ 26 ต.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการับซื้อแปรรูปปลาหมอคางดำ ในพื้นที่ อ.ปากพนัง พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์  เกตุเหมือน ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช โดนนายกอบศักดิ์ กล่าวว่าในส่วนของ จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ไม่ได้รับงบประมาณทางประมงจังหวัดได้มีการคิกออฟ ตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ครั้งแรก จับปลาหมอคางดำได้ 2,540 กิโลกรัม หลังจากนั้นได้มีงบประมาณที่จะนำมาซื้อปลาหมอคางดำ เพื่อเอามาทำน้ำหมักชีวภาพให้กับ กยท. ทางประมงจังหวัดได้ส่งปลาหมอคางดำ ไปให้ กยท.ได้ 17,100 กิโลกรัม หลังจากหมดงบประมาณที่จะจัดส่งให้ กยท. ทางกรมประมงได้มีงบประมาณส่วนหนึ่งที่จะซื้อปลาหมอคางดำต่อ จึงได้ดำเนินการซื้อปลาหมอคางดำ และได้ให้สถานีพัฒนาที่ดิน นำไปทำน้ำหมักชีวภาพ เป็นจำนวน 18,500 กิโลกรัม สำหรับในปัจจุบันกรมประมงได้ให้งบประมาณมาอีกส่วนหนึ่งเพื่อซื้อปลาหมอคางดำเพื่อทำน้ำหมัก ชีวภาพ ให้กับสถานีพัฒนาที่ดินอีกก้อนนึง ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มาจำนวน 20,000 กิโลกรัม หรือ 20 ตัน ตอนนี้กำลังดำเนินการรับซื้ออยู่ ซึ่งตอนนี้ยังขาดปลาหมอคางดำอยู่อีกประมาณ 2 ตัน นอกจากในส่วนงบประมาณของภาครัฐที่จะจัดซื้อปลาหมอคางดำแล้ว ในส่วนของชาวบ้านที่ทำการรับซื้ออยู่ที่เอาไปใช้ประโยชน์ เอาไปเป็นเหยื่อของปู สำหรับผู้เลี้ยงปู บางส่วนสำหรับชาวประมงที่ออกหาปลาในทะเล เอาเป็นเหยื่อใส่ในลอบปลา ที่รวบรวมได้ 48 ตัน และยังมีที่เอาไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ทั้งเอาไปแปรรูปเป็นอาหารไม่ว่าจะทำเป็นปลาแดดเดียว  ประมาณ 16 ตันโดยรวมแล้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้ปลาหมอคางดำไปแล้ว 100 กว่าตัน

นายบุญเยือน รัตนวิชา อายุ 60 ปี ผู้รับซื้อปลาตัวแทนสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งลุ่มน้ำปากพนังจำกัด กล่าวว่า จนถึงวันนี้เมื่อเทียบกับโครงการระยะที่สองปลาหมอคางดำจะมีขนาดตัวเล็กลง ส่วนปริมาณจะน้อยลงแต่ถือว่ายังลดลงไม่มาก เนื่องจากว่าทางกลุ่มสหกรณ์ผู้เรียนกุ้งได้ขอความร่วมมือจากชาวบ้านที่ต้องการปลาขนาดเล็กโดยวิธีการใช้อวนลากต้องการที่จะจับปลาเล็กมากำจัดให้ได้มากที่สุด สำหรับสถานการณ์การระบาดได้ลดลง 60 ถึง 70% ซึ่งมองได้จากครั้งแรก เพราะการรับซื้อเฟสแรกที่มีการรับซื้อปลาจะมีขนาดโตขึ้น เฟสที่สองปลาอยู่ในขนาดตัวปานกลาง แต่ในขณะนี้จะมีขนาดเล็กลงมาก ทำให้เห็นได้ว่าปริมาณการระบาดลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนสำหรับมาตรการที่ทำอยู่ในขณะนี้คิดว่าเป็นการกระทำที่ถูกทางแล้วเพราะว่าภาครัฐโดยกรมประมงต้องการที่จะนำประหมอคางดำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะกำจัดทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ เราก็สามารถที่จะนำมาแปลเปลี่ยนเป็นน้ำหมักชีวภาพเพื่อที่จะลดการใช้ปุ๋ยเคมีแล้วหันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพมากยิ่งขึ้น จะทำให้คุณภาพของดินมีความอุดมสมบูรณ์ดีกว่าใช้ปุ๋ยเคมี นอกจากที่เราจะเป็นแพรับซื้อปลาแล้วเรายังเป็นผู้ที่ทำน้ำหมักด้วย เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้เคยทำการรับซื้อแล้วส่งปลาไปอีกที่ เพื่อทำน้ำหมัก ทำให้มีปัญหาเรื่องของคุณภาพ ปัญหาเรื่องความสด และน้ำหนักของปลาได้ลดลงเนื่องจากปลาเริ่มเน่า เริ่มส่งกลิ่นเหม็น ก็จะมีปัญหาต่อสุขภาพหลายสิ่งหลายอย่างเลยขอทางราชการว่าต้องการปลาสดนำมาทำน้ำหมัก จุดนี้จึงกลายเป็นรับซื้อและนำมาทำน้ำหมักได้ทันทีก็จะทำให้คุณคุณภาพของน้ำหมักดีขึ้นได้ สำหรับปลาที่ใช้ไปแล้วในตอนนี้ในโครงการ 20 ตัน รับซื้อไปแล้ว 18 ตัน ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาการรับซื้อในวันที่ 26  พ.ย. นี้ แต่คาดว่าอีกวัน 2 วันปลาก็จะครบตามจำนวน 20 ตัน สำหรับการแปรสภาพปลาหมอคางดำมาเป็นน้ำหมัก ผมคิดว่าเราเดินมาถูกทางแล้วเพราะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เราจะเปลี่ยนวิกฤตให้มาเป็นโอกาส เมื่อเกษตรกรผู้ปลูกพืชต่างๆสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำหมักสามารถลดต้นทุนการผลิตของพืชต่างๆได้น้ำหมักส่วนนี้จะนำไปใช้ โดยกรมพัฒนาที่ดินจะนำไปแจกจ่ายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกผักทั่วประเทศ เมื่อเทียบกับตอนแรกรับซื้อกับตอนนี้เราจะเห็นว่าปลาจะมีขนาดเล็กลงส่วนปริมาณการจับจะมีน้อยลงแต่ถือว่ายังลดลงไม่มากเพราะเนื่องจากทางกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจะขอความร่วมมือจากชาวบ้านที่ต้องการปลาขนาดเล็กโดยวิธีการที่ใช้อวนลากเพื่อที่จะนำปลาเล็กมาใช้ประโยชน์และกำจัดปลาเล็กได้มากที่สุด

 

นายประทีป น้ำขาว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ท่าพญา  อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ผู้จัดการธนาคารปูม้า เปิดเผยว่า ถึงแม้นว่าจะไม่มีโครงการนี้ทางธนาคารปูม้าได้มีการรับซื้อปลาหมอคางดำมาก่อนแล้วเป็นเวลา 2 ปีเพื่อที่จะ นำปลาหมอคางดำไปเป็นอาหารหรือเป็นเหยื่อให้กับลอบปูโดยเมื่อก่อนที่ไม่มีปลาหมอคางดำเยอะขนาดนี้ก็จะซื้อปลาปักเป้ากิโลละ 20 บาท มาเป็นเหยื่อ แต่เมื่อมีโครงการนี้ทำให้มีการรับซื้อปลาหมอคางดำในราคากิโลกรัมละ 15 บาท ซึ่งทำให้ เป็นผลดีกับชาวบ้านได้มีงานทำเพราะชาวบ้านชาวประมงส่วนใหญ่ก็หันมาหาปลาหมอคางดำขายกันเพิ่มมากขึ้น สำหรับการรับซื้อปลาหมอคางดำตนจะรับซื้อในช่วงเดือน เม.ย. – พ.ย. เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นจะเป็นช่วงมรสุมและจะเปิดรับซื้ออีกครั้งในช่วงเดือน เม.ย. ปีหน้า สำหรับความต้องการของตนในตอนนี้อยู่ที่ 300 กิโลกรัมต่อวัน เพื่อที่จะนำไปเป็นอาหารปูและปลากะพงให้กับผู้ชาวประมง

นายณัฏฐชัย นาคเกษม อายุ 56 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงปูขาว เปิดเผยว่า ทางฟาร์มได้ใช้ปลาหมอคางดำประมาณ 50 กิโลต่อวัน แต่ว่าในวิสาหกิจของเรามีผู้เลี้ยงปูอยู่ประมาณ 20 กว่ารายเฉลี่ยแล้ว ต่อรายต่อวัน ต่อคน ต่อฟาร์ม ต้องใช้ปลาหมอคางดำไม่ต่ำกว่า 20 กิโลกรัม ถึงแม้นว่าไม่มีการรณรงค์ให้กำจัดปลาหมอคางดำทางฟาร์มของเราก็ได้มีการนำปลาหมอคางดำมาเป็นอาหารให้ปูอยู่แล้วเพราะว่าได้ปลาหมอคางดำปูที่เราเลี้ยงก็จะได้กิน แต่ก่อนหน้านี้เราไม่รู้ว่าปลาชนิดนี้คือปลาหมอคางดำ  คิดว่าเป็นปลาหมอเทดหลังจากที่เป็นข่าวออกมาทำให้รู้ว่าปลาชนิดนี้คือปลาหมอคางดำ ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกำจัดลาหมอคางดำทำให้ปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงคือได้เอามาเป็นเหยื่อให้กับปูในกลุ่มของเราได้เป็นอย่างดีและทำให้ช่วยประหยัดค่าอาหารได้ ถ้าหากว่าซื้อปลาจากทะเลอาจจะมีราคาสูงกว่าซักนิดนึง ทำให้เป็นการช่วยลดต้นทุนส่วนหนึ่งได้

น.ส.เสาวณี เสนมณี อายุ 26 ปี ชาวประมงในพื้นที่ อ.ปากพนัง กล่าวว่า โดยปกติแล้ว ตนประกอบอาชีพชาวประมงวางอวลดักจับสัตว์น้ำในทะเล และหลังจากมีการรับซื้อปลาหมอคางดำก็ได้หันมาจับปลาหมอคางดำไปขายให้กับแพที่รับซื้อปลาหมอคางดำในราคากิโลกรัมละ 15 บาทในแต่ละ เพื่อเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวหลังจากที่ลงไปวางอวนในทะเล แต่ละวันจะได้ปลาหมอคางดำไม่แน่นอนหากไปแต่ถือว่าทำให้ครอบครัวอยู่ดีกินดีขึ้น

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำของทางกรมประมง เพื่อที่จะกำจัดปลาหมอคางดำ โดยการนำไปเป็นอาหารให้กับสัตว์น้ำ และทำน้ำหมักชีวภาพ ถือว่าในตอนนี้ทางกรมประมงได้เดินทางมาถูกทางแล้วเพราะสามารถช่วยลดต้นทุนค่าอาหารให้กับชาวประมง และได้ร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย

กัญญาณัฐ  เพ็ญสวัสดิ์ /จ.นครศรีธรรมราช