ผบ.ตร.ยกเครื่องงานสอบสวน เพิ่มค่าตอบแทน แก้ระเบียบ ปรับรูปแบบสำนวนเพื่อลดภาระงาน

ผบ.ตร.ห่วงใยพนักงานสอบสวน จึงร่วมกับ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ยกเครื่องงานสอบสวน ตั้งคณะทำงานกำหนดตำแหน่ง แนวทางปฏิบัติในสายงานสืบสวนสอบสวน ให้สอดคล้องกับ พรบ.ตำรวจฉบับใหม่ ปรับปรุงเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสม แก้ระเบียบ ปรับรูปแบบสำนวนให้สอดคล้องปัจจุบัน เพื่อลดภาระงาน สร้างขวัญกำลังใจ แก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม

เมื่อวันที่ 11 ส.ค.66 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เป็นประธานประชุมคณะกรรมการส่งเสริมงานสอบสวนครั้งที่ 2/2566 โดยมี ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ , พล.ต.อ.วุฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ และ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน พร้อมด้วย พล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ , พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. , พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.สกพ. และ พล.ต.ท. อนุชา รมยะนันทน์ ผบช.สง.ก.ตร. พร้อมข้าราชการตำรวจสายงานสอบสวน และส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศรียานนท์ อาคาร 1 ตร.

ที่ประชุมมีประเด็นการปรับเพิ่มอัตราเงินเพิ่มพิเศษของพนักงานสอบสวน การปรับปรุงแก้ไขคำสั่ง ตร.ที่419/2556 ลง 1 ก.ค.56 เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติที่ไม่จำเป็น และให้ครบถ้วนตามกฎหมายที่ออกมาใหม่ รวมทั้งประเด็นอื่นๆ เพื่อยกระดับการทำงาน คุณภาพชีวิต การเจริญเติบโตของพนักงานสอบสวนให้ดียิ่งขึ้น สร้างขวัญกำลังใจในการทำงานเพื่อประชาชน นอกจากนี้ ประชุมยังร่วมให้ความเห็นประเด็นสำนวนการสอบสวนที่มีเอกสารไม่มาก สามารถทำโดยรูปแบบย่อ ง่าย มีความชัดเจน เช่น คดีลักทรัพย์ที่มีวงจรปิด คดียาเสพติดจำนวนเล็กน้อย ผู้ต้องหารับสารภาพ คดีไม่ปรากฎตัวผู้กระทำผิด เพื่อจะได้แบ่งเบาภาระ ลดงานแก่พนักงานสอบสวน และควรดูแลปรับเพิ่มค่าตอบแทน ผลักดันเงินประจำตำแหน่งและปรับอัตราเงินตอบแทนค่าสำนวนให้สูงขึ้น และ ประเด็นการอบรมเสร็จจึงได้เงินประจำตำแหน่งซึ่งไม่สอดคล้องกับการทำงาน รวมทั้งระเบียบ กฎหมายต่างๆ ที่จะต้องมีการยกร่างให้เป็นปัจจุบัน ลดภาระงานสอบสวน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า “จากการที่ได้ไปตรวจราชการ สอบถามพูดคุยปัญหากับพนักงานสอบสวน รวมทั้งหารือแนวทางการทำงานร่วมอัยการ พบปัญหาการทำงานของพนักงานสอบสวนในหลายๆประเด็น และจากที่มีข่าวออกมาว่า พนักงานสอบสวนลาออกไปหลายราย ก็รู้สึกไม่สบายใจ มีความเห็นใจ เข้าใจ รับรู้ รับทราบปัญหา และห่วงใยการทำงานของพนักงานสอบสวน จึงมีการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริมการทำงานของพนักงานสอบสวน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านงานสอบสวน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ,พล.ต.อ. วุฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ , พล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ , พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน และส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ได้สั่งการให้ศึกษาพิจารณาปรับปรุงค่าตอบแทนพนักงานสอบสวนให้เหมาะสม และให้พิจารณาปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับเงินประจำตำแหน่งพนักงานสอบสวน ซึ่งมีใบประกอบวิชาชีพสอบสวนอยู่แล้ว ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งเลย นับแต่วันเริ่มทำงาน ไม่ใช่รับเงินหลังจากผ่านการอบรม

ในส่วนของการบริหารกำลังพลในสถานีตำรวจ ให้หัวหน้าสถานีใช้งานผู้ช่วยพนักงานสอบสวนให้เกิดประโยชน์ มีการถ่ายทอด พัฒนาความรู้ และให้สำนักงานกำลังพล (สกพ.) จัดสอบบรรจุบุคคลเหล่านี้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นชั้นสัญญาบัตรสายงานสอบสวนทุกปี ให้พิจารณาออกแนวทางการให้เจ้าพนักงานจราจร และเจ้าหน้าที่สายตรวจ เป็นผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สามารถแยกรถ เมื่อมีเหตุรถชนและทำให้การจราจรติดขัด ให้พิจารณาออกแนวทางกรณีการทำสำนวนคดีไม่ปรากฎว่าผู้ใดกระทำผิด ให้ฝ่ายสืบสวนเป็นผู้รับผิดชอบสำนวน ในชั้นนี้ให้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาของพนักงานสอบสวนระยะเร่งด่วน เช่น การให้ ผบช.,ผบก. สามารถเกลี่ยกำลังของพนักงานสอบสวนในรับผิดชอบ ให้เหมาะสมกับจำนวนคดีในแต่ละพื้นที่ โดยให้ดูจาก ปริมาณงาน ระยะเวลาการเข้าเวร การพัก จะได้แก้ไขปัญหาคดีล้นมือของพนักงานสอบสวน

 

ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะต่อไป ให้คณะทำงานเตรียมร่างแนวทางการปฏิบัติ รูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสายงานสืบสวนสอบสวนให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 เพื่อให้สามารถอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน มีการเจริญเติบโตก้าวหน้าได้อย่างเหมาะสมในสายงานสืบสวนสอบสวน และให้เร่งรัดปรับปรุง แก้ไข ระเบียบคำสั่งเกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวน ให้สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ และลดภาระงานของพนักงานสอบสวนที่ไม่จำเป็น ออกไปให้มากที่สุด

ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบปัญหาของพนักงานสอบสวน และให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะถือเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม ที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้พี่น้องประชาชน อยากจะแก้ไขปัญหาของพนักงานสอบสวนให้เป็นรูปธรรม ที่ชัดเจน จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้การทำงานของพนักงานสอบสวนในอนาคตสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ มีความเจริญก้าวหน้าและได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมเพื่อประโยชน์ของประชาชนสังคมต่อไป”